ลับแล,แก่งคอย นวนิยายของอุทิศ เหมะมูล เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่พยายามขัดขืนกรอบชีวิตตามแนวทางเข้มงวดที่พ่อกำหนดให้ การหมกมุ่นอยู่กับความสูญเสียและความผิดหวังในชีวิตทำให้ตัวละครสร้างโลกจินตนาการเพื่อลวงตัวเองและลวงคนอื่น เขามีความสุขกับโลกลวงที่ทำให้สามารถกล่าวโทษคนอื่นได้สะใจ ทั้งพ่อผู้มีอัตตาสูง และแม่ผู้อ่อนแอ รวมทั้งแฝงตัวเป็นคนอื่นเพื่อปฏิเสธความเลวร้ายต่าง ๆ ที่ตนเองกระทำ ชีวิตอันสับสนของตัวละครคลี่คลายลงได้ก็ด้วยการมีสติ คือ ความรู้ตัว และปัญญา คือ ความรู้ทั่ว ทำให้ได้คิดอย่างมีเหตุมีผล ไม่งมงาย เพื่อยืนหยัดและยืนยันตัวตนแท้จริง
นวนิยายเรื่องนี้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องสลับตัดฉากไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และจงใจให้รายละเอียดของเรื่องราวต่าง ๆ มาก เหมือนกับจะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งมีผลสะเทือนถึงคนอื่น ๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมีผลสะท้อนถึงปัจจุบัน แม้ผู้เขียนจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครเอก ซึ่งน่าจะทำให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดของตัวละครนั้น แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนมีชั้นเชิงความสามารถที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจพฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอื่น ๆ ในแง่มุมที่แตกต่างไป ตัวละครในเรื่องจึงมีมิติลึกและซับซ้อนเช่นเดียวกับมนุษย์จริง การแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีหลายมุมมองยังมีแทรกอยู่อีกหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ รวมทั้งการที่ตัวละครผ่านพ้นวิกฤติชีวิตมาได้ แต่จะด้วยจิตบำบัด ความเชื่อไสยศาสตร์ หรือหลักธรรมทางพุทธศาสนาก็แล้วแต่จะมองจากมุมของใคร นอกจากนี้ ในระหว่างเรื่องเล่าของตัวละครเอก นวนิยายเรื่องนี้ยังบอกเล่าถึงความเคลื่อนไหวของสังคมไทยรวมทั้งความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง และความเปราะบางของความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่อาจแตกหักลงง่าย ๆ เพียงเพราะยึดมั่นอยู่ในความคิดและวิถีทางของตนเอง
นวนิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ทางวรรณศิลป์ที่การสร้างความคลุมเครือให้แก่ตัวละครและเหตุการณ์อยู่ตลอดทั้งเรื่อง กล่าวได้ว่าผู้เขียนจงใจเล่นกับความจริงและความลวง เพื่อแสดงให้เราเห็นว่าเมื่อสกัด สิ่งลวงต่าง ๆ ในชีวิตออกไปแล้ว ความจริงของชีวิตคือความงดงาม เฉกเช่นประติมากรที่สกัดส่วนเกินบนแท่งหินอ่อน เพื่อให้ได้รูปแกะสลักที่งดงามที่สุด