ความทุกข์ที่กัดกร่อนใจมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอิจฉา มนุษย์ส่วนใหญ่ม้กไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีและเป็น “ร่มแก้ว” นำเสนอความคิดนี้ผ่านหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นไม่ว่าหน้าตา การเรียน ความสามารถในการทำงาน เธอกลืนหายไปในหมู่ผู้คน เธอมักคิดเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นอยู่เนือง ๆ และเฝ้าฝันแต่เพียงว่าเธอจะเป็นเช่นนั้นบ้างเพราะเธอรู้ตัวดีว่าไม่อาจปรับบุคลิก เปลี่ยนนิสัย รื้อภูมิหลัง หยิบฉวยพรสวรรค์ของใครมาเป็นของตนเองได้ นอกเสียจากว่าปาฏิหาริย์จะบังเกิด
เหมือนชะตากรรมเล่นตลก สิ่งสมมติในใจเธอกลับเป็นจริง เธอสวมชีวิตของคนอื่นที่เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้หรูเลิศวิไลดังในความฝัน ทุกชีวิตล้วนมีปัญหา มีความลับที่ซ่อนเร้นมีทุกข์ที่แบกไว้ซึ่งผู้อื่นไม่เคยล่วงรู้ ในร่างของคนอื่น เธอได้มองตัวเองและเห็นชีวิตที่ผ่านมาซึ่งอาภัพและอับโชค ว่าช่างดีเสียยิ่งกว่าชีวิตของคนอื่นที่เธอเคยอิจฉา เธอเคยมองข้ากระทั่งความรักความปรารถนาดีของผู้คนที่รายร้อม เฝ้าครุ่นคิดแค้นเคืองโชคชะตา แต่แล้วในที่สุดโชคชะตาก็กลั่นแกล้งเธอ
“ร่มแก้ว” สามารถนำเสนอชีวิตของผู้หญิงสี่คนสี่แบบได้อย่างมีมิติ ทุกคนมีทุกข์ที่ต้องทน มีฝันที่ต้องก้าว มีความรักที่อยากครอบครอง “สลับร้างสร้างเรื่อง” ไม่ใช่กลวิธีใหม่ แต่ “ร่มแก้ว” สามารถใช้กลวิธีนี้ดำเนินเรื่องอย่างน่าติดตาม และคนอ่านเอาใจช่วยให้ปาฏิหาริย์บังเกิดแม้จวนเจียนจะหมดหวัง ราวกับแฝงนัยว่าการเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นเรื่องยาก แต่การหวนกลับมาเป็นตัวเราที่เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นแล้วแสนลำเค็ญเสียยิ่งกว่า สารของเรื่องนี้ชวนให้ฉุกคิดย้อนทบทวนมองหาความสามารถที่ไม่เคยรู้ตัวว่ามี ให้ภูมิใจในตัวเอง รักในสิ่งที่มี เห็นคุณค่าในสิ่งที่เป็น เพราะนั่นคือพรอันประเสริฐยิ่งที่มนุษย์พึงมอบให้แก่ตนเอง
คณะกรรมการตัดสินประเภทนวนิยาย รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2554 ลงมติให้นวนิยายเรื่องบุษบาเร่ฝันได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2