นวนิยายเรื่อง วายัง อมฤต  ของ อนุสรณ์  ติปยานนท์ เปิดเรื่องให้นายไฮน์ริช เบิล  ชาวเยอรมัน    นักแปลและล่าม 8 ภาษาผู้มีชื่อเสียง ได้รับการติดต่อจาก “กรมพระฯ” เจ้านายชั้นสูงของสยามที่ลี้ภัยการเมืองไปประทับอยู่ที่ชวา เพื่อให้แปลบันทึกความทรงจำที่ยังทรงเขียนไม่จบเกี่ยวกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475  จากนั้นผู้เขียนก็พาผู้อ่านทะลุทะลวงเข้าไปในเหตุการณ์การต่อสู้ของกลุ่มกองโจรใต้ดินของชวาซึ่งมีบุหลันหรือบุหรงและศรี อรพินโท  เป็นผู้นำที่มีอุดมการณ์ในการต่อต้านและขับไล่กองทัพญี่ปุ่นที่เข้ายึดครองชวาในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาและพร้อมกันนั้นก็พยายามปลดแอกจากอำนาจของชาวดัชท์ ผู้เป็นเจ้าอาณานิคมเดิมไปด้วย   นอกจากสงครามในเอเชีย  ผู้เขียนพาผู้อ่านเข้าร่วมรู้บางเสี้ยวของสงครามกลางเมืองสเปนที่ฝ่ายกบฏร่วมรบต่อต้านพวกฟาสซิสต์ของนายพลฟรังโก  ผู้นำสเปนซึ่งมีท่านฟูเร่อร์แห่งเยอรมนีหนุนหลัง   ผู้เขียนแสดงการหักเหลี่ยมซ้อนกลและความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของสายลับเยอรมันซึ่งเป็นหนอนบ่อนไส้ในกองทหารอาสา   อันทำให้เปิดโฉมหน้าของไฮน์ริช เบิล ว่าที่แท้คือ ฟรังซัวร์ อูแบง ซึ่งเป็น           ผู้รับทอดอุดมการณ์และตัวตนของไฮน์ริช เบิล หลังเขาถูกสังหารโดยกองทหารนาซี  จากสงครามกลางเมืองในสเปนผู้เขียนนำผู้อ่านกลับเข้าสู่สงครามกลางเมืองในชวา  ไฮน์ริช เบิลคนใหม่ยินดีเข้าร่วมงานต่อต้านญี่ปุ่น และขับเคี่ยวกับพันตรี ทารุ ซามาโมโต้ เคียงบ่าเคียงไหล่กับบุหลันและศรี อรพินโท  เหตุเพราะเขาหลงรักบุหรง  และต่อมาเขาได้รับรู้ความจริงหลังเธอถูกสังหารว่า บุหรงคือคนเดียวกับบุหลันซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทุนให้             กลุ่มกบฏและตัวเธอเองก็เป็นนักรบผู้ห้าวหาญในกองทัพใต้ดินของชวา  ความพ่ายแพ้และการสูญเสียหญิงที่ตนรักทำให้ไฮน์ริช เบิล หมดไฟชีวิต  เขาเผาข้าวของที่เตือนใจให้นึกถึงดินแดนชวา รวมทั้งบันทึกความทรงจำของกรมพระฯ ที่ยังแปลไม่เสร็จนั้นด้วย

อนุสรณ์ ติปยานนท์ ใช้ภาพซ้ำของการกบฏไม่ว่าจะเกิดในสยาม  ชวา  สเปนและญี่ปุ่น  สื่อให้เห็นประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งของคนสองฝ่ายต่างอุดมการณ์ที่ดำรงอยู่ทุกแห่งทุกเวลา  ความคลุมเครือ ความเหนือจริง  ความลึกลับ สัญลักษณ์  อาการกึ่งจริงกึ่งฝัน และเรื่องเล่าลวง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในตัวเรื่อง ย้ำให้ตระหนักถึงความลวงที่เป็นเงาหลอกล่ออยู่เบื้องหน้าความจริง เช่นเดียวกับการเชิดหนังที่ผู้ชมมองเห็นแต่เงาดำโลดแล่นอยู่บนฉากขาวซึ่งบดบังตัวหนังและคนเชิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง  วายัง อมฤตซึ่งเป็นชื่อของ               นวนิยายเรื่องนี้  หมายถึงโลกแห่งอุดมคติ  โลกที่อาจจะดูเลื่อนลอยเหมือนเงาดำของหนังวายัง กุลิต  แต่มีความจริงที่สัมผัสได้อยู่ในนั้น นั่นคือ อุดมการณ์อันแข็งแกร่ง  อุดมคติที่ตกผลึก และความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าที่เป็นอยู่  แม้ว่าเรื่องราวของนักปฏิวัติแห่งชวา ไม่ว่าจะเป็นปีเตอร์ เอเวอร์เดล  อามีร์  ฮาริฟุดดิน บุหลันหรืออดิรัต ฮาฟิช  และศรี อรพินโท  จะกลายเป็นเพียงเงาในฉากประวัติศาสตร์การเมือง แต่อุดมคติในการเปลี่ยนสังคมให้ดีกว่าเดิมยังคงดำรงอยู่เสมอและส่งทอดต่อมาไม่ขาดสาย ฉะนั้น  วายัง อมฤต โลกแห่งอุดมคติ จึงมีอยู่ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของอีกหลายประเทศ

ด้วยคุณค่าสาระของเรื่อง  การประกอบสร้างนวนิยายด้วยศิลปะการประพันธ์ที่มีชั้นเชิงและการ            เรียงร้อยด้วยถ้อยภาษาที่สอดคล้องกับตัวบท  ทำให้นวนิยายเรื่อง วายัง อมฤต มีความโดดเด่นยิ่ง

คณะกรรมการจึงมีมติให้นวนิยายเรื่องนี้ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทนวนิยาย ประจำปีพุทธศักราช 2562